ส่องโครงการจิตอาสา สจล. วิชา Joy of Sharing 1/68 พลังเล็กๆ ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงจากสิ่งใกล้ตัว

ส่องโครงการจิตอาสา สจล. วิชา Joy of Sharing 1/68 พลังเล็กๆ ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงจากสิ่งใกล้ตัว
Photo by OCG Saving The Ocean / Unsplash

โครงการจิตอาสา "Joy of Sharing" ของนักศึกษา สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เทอม 1 ปีการศึกษา 2568 พิสูจน์ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลง อาจไม่ได้เริ่มต้นจากการแก้ปัญหาระดับโลก แต่เกิดจากการหันมามองและใส่ใจ "ปัญหาเล็กๆ ที่ถูกมองข้าม" ในชีวิตประจำวันรอบตัวเรา โครงการเหล่านี้จุดประกายขึ้นจากความช่างสังเกตและความเห็นอกเห็นใจในสิ่งใกล้ตัวภายในรั้วมหาวิทยาลัย ตั้งแต่ความเหนื่อยล้าของพี่ๆ แม่บ้านที่ต้องคอยจัดโต๊ะเก้าอี้และแยกขยะกองโต, ความยากลำบากในการทำงานกลางแดดของคนสวน, ไปจนถึงความต้องการกำลังใจอย่างเงียบๆ ของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ยืนหยัดดูแลพวกเราตลอดวัน เรื่องราวเหล่านี้คือพลังแห่งการสร้างสรรค์และความใส่ใจของคนรุ่นใหม่ ที่ได้เปลี่ยนรั้วสถาบันให้กลายเป็นชุมชนที่อบอุ่นและน่าอยู่ยิ่งขึ้น

ในทุกๆ วันของชีวิตในมหาวิทยาลัย มีบุคลากรสายปฏิบัติการจำนวนมากที่เป็นกำลังสำคัญอยู่เบื้องหลังความเรียบร้อยและความสะดวกสบายของพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) หรือคนสวน พวกเขาคือผู้ที่ทำให้ "บ้านหลังที่สอง" ของเราสะอาด ปลอดภัย และน่าอยู่เสมอ โครงการจิตอาสาจำนวนไม่น้อยของนักศึกษาวิชา Joy of Sharing 1/68 สจล. จึงถือกำเนิดขึ้นจากความเข้าใจและความปรารถนาที่จะตอบแทนและสนับสนุนคนกลุ่มนี้อย่างแท้จริง ทั้งในมิติของจิตใจและการลงมือทำเพื่อแบ่งเบาภาระ นักศึกษาหลายกลุ่มมองลึกลงไปกว่าความต้องการทางกายภาพ พวกเขาเข้าใจว่าบุคลากรเหล่านี้ก็มีความต้องการการยอมรับ การเห็นคุณค่า และการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนเช่นกัน ดังที่โครงการ "มุมเล็กๆ ที่มีคนฟัง" ได้วิเคราะห์โดยอ้างอิงทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ (Maslow’s Hierarchy of Needs) ว่านอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานแล้ว ความต้องการความรักและการยอมรับก็เป็นสิ่งจำเป็นต่อสุขภาวะทางใจอย่างยิ่ง โครงการนี้ และ "Gimme Some Space" จึงมีแนวคิดร่วมกันในการสร้าง "พื้นที่ปลอดภัย" (Safe Space) ให้บุคลากรได้บอกเล่าและระบายความรู้สึก โดยปราศจากการตัดสิน ซึ่งอิงหลักการทางจิตวิทยาอย่างทฤษฎีการสนับสนุนทางสังคม (Social Support) และ Catharsis Theory ที่ว่าการได้ปลดปล่อยอารมณ์ที่ถูกกดเก็บไว้นำไปสู่การเยียวยาทางจิตใจได้

การแสดงความใส่ใจไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่เสมอไป โครงการ "ของแทนใจจากใจถึงใจ" ได้แสดงให้เห็นว่าการมอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ เช่น ขนม เครื่องดื่ม หรือพวงกุญแจพร้อมข้อความให้กำลังใจ สามารถสร้างขวัญกำลังใจและทำให้ผู้รับรู้สึกว่ามีคนมองเห็นและให้คุณค่าในงานที่พวกเขาทำ ขณะเดียวกัน โครงการ "ความเข้าใจในความคิดของช่วงอายุวัยที่แตกต่างกัน" ก็พยายามทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมความเข้าใจระหว่างนักศึกษาและบุคลากรสูงวัย ผ่านการพูดคุยและรับฟังมุมมองที่แตกต่าง ซึ่งช่วยลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นจากช่องว่างระหว่างวัย และสร้างบรรยากาศของความเคารพซึ่งกันและกัน จนเกิดผลลัพธ์เล็กๆ ที่น่าประทับใจอย่างกรณีของ "ป้าหอใน" ที่หลังจากการพูดคุยกับนักศึกษา ท่านก็เริ่มเปิดใจปรับความเข้าใจและพูดคุยกับคนในครอบครัวมากขึ้น

นอกจากการเยียวยาทางใจแล้ว นักศึกษายังได้เปลี่ยนความเห็นอกเห็นใจให้กลายเป็นการลงมือแก้ปัญหาที่ปฏิบัติได้จริง โครงการ "ปลอกมหัศจรรย์" สังเกตเห็นความยากลำบากของคนสวนในการเข็นรถกลางแดด จึงได้ออกแบบปลอกสำหรับด้ามจับรถเข็นเพื่อลดความร้อนและช่วยให้จับถนัดมือมากขึ้น แม้ความพยายามครั้งแรกที่ใช้ปลอกพลาสติกจะล้มเหลวเพราะไม่พอดีกับด้ามจับ นักศึกษาจึงต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วโดยเปลี่ยนไปใช้ปลอกยางสำหรับด้ามจับดัมเบลซึ่งใช้งานได้ดีกว่า เช่นเดียวกับโครงการ "เบาะนี้เพื่อลุง" ที่จัดหาเบาะรองนั่งเพื่อช่วยลดอาการปวดหลังของ รปภ. ที่ต้องนั่งปฏิบัติหน้าที่เป็นเวลานาน โซลูชันเหล่านี้คือตัวอย่างที่ชัดเจนของการแก้ปัญหาเชิงกายภาพ (Ergonomics) ที่มาจากความใส่ใจอย่างแท้จริง บางครั้งวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือวิธีที่เรียบง่ายที่สุด โครงการ "ปิดไฟ ปิดแอร์ เติมพลังให้ป้า" จัดกิจกรรมเดินปิดไฟและเครื่องปรับอากาศตามห้องเรียนหลังเลิกใช้ ซึ่งช่วยลดจำนวนรอบที่แม่บ้านต้องเดินตรวจตราจากเดิมถึง 4 รอบ ให้เหลือเพียง 1 รอบ นับเป็นการช่วยลดภาระงานที่เรียบง่ายแต่ส่งผลกระทบอย่างยิ่ง หรือการแก้ปัญหาเชิงระบบอย่างโครงการ "ป้ายห้ามจอด!!!" ที่มองเห็นปัญหาการจอดรถในที่ส่วนบุคคลซึ่งสร้างความขัดแย้งและภาระให้แก่ รปภ. ในการเขียนป้ายเตือนด้วยกระดาษ นักศึกษาจึงได้ประดิษฐ์ป้ายเสียบกรวยจราจรที่ทนทานและใช้ซ้ำได้ นอกจากนี้ โครงการ "มื้อพิเศษจากเด็กวิดยา" ที่เข้าใจดีว่าค่าใช้จ่ายด้านอาหารเป็นภาระสำคัญของบุคลากร จึงได้ลงมือทำอาหารกลางวันที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนไปแจกจ่าย เพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและส่งเสริมสุขภาพที่ดี

ความใส่ใจต่อบุคลากรเหล่านี้ได้กลายเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้นักศึกษาขยายมุมมอง จากการดูแล 'คน' ไปสู่การดูแล 'บ้าน' ที่ทุกคนอาศัยอยู่ร่วมกัน นำไปสู่ภารกิจต่อไปในการยกระดับสภาพแวดล้อมโดยรวมของมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเปรียบเสมือน "บ้านหลังที่สอง" ของทั้งนักศึกษาและบุคลากร การทำให้บ้านหลังนี้น่าอยู่จึงเป็นความรับผิดชอบของสมาชิกทุกคน โครงการในกลุ่มนี้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่จะสร้างวัฒนธรรมแห่งการมีส่วนร่วมและความรู้สึกเป็นเจ้าของพื้นที่ส่วนรวม ปัญหาขยะเป็นหนึ่งในประเด็นที่นักศึกษาให้ความสนใจเป็นพิเศษ โครงการอย่าง "แยกขยะลดความเหนื่อยล้า", "กินได้ทิ้งให้ถูกที่" และ "บ้านหลังที่สองอบอุ่นเพราะแม่บ้าน" มีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างความตระหนักรู้ โดยใช้เครื่องมือที่เข้าถึงง่ายอย่างโปสเตอร์และสื่อออนไลน์ เพื่อสื่อสารให้ทุกคนเข้าใจถึงความสำคัญและวิธีการแยกขยะที่ถูกต้อง ซึ่งจะช่วยลดภาระของแม่บ้าน

นักศึกษาบางกลุ่มมองไปไกลกว่าการรณรงค์ โดยเชื่อว่าการออกแบบสภาพแวดล้อมที่ดีสามารถกระตุ้นพฤติกรรมเชิงบวกได้ โครงการ "ถังขยะเพื่อแยกขวดพลาสติก" ได้นำทฤษฎีสะกิด (Nudge Theory) และหลักการตลาด 4Ps มาใช้ โดยออกแบบ "ถังขยะแบบใส" (Product) ตั้งในโรงอาหารซึ่งเป็นจุดที่มีคนทิ้งขวดเยอะ (Place) และประชาสัมพันธ์ผ่านโซเชียลมีเดีย (Promotion) เพื่อชี้นำให้คนแยกขวดโดยไม่รู้สึกว่าถูกบังคับ ขณะที่โครงการ "กล่องเปลี่ยนมุม" ได้นำกระดาษลังเหลือใช้มาประดิษฐ์เป็นถังขยะเพื่อเพิ่มจุดทิ้งในพื้นที่ที่ยังขาดแคลน และโครงการส่งเสริมการคัดแยกภาชนะโดย "กลุ่มเรารักหลวงตา" ได้จัดระบบการทิ้งขยะที่ต้นทางในโรงอาหาร เพื่อให้การคัดแยกเป็นระบบตั้งแต่แรก นอกจากนี้ยังมีโครงการที่มองว่าขยะไม่ใช่แค่ปัญหา แต่เป็น "โอกาส" อย่างโครงการ "ขยะสุขใจ upcycle" ที่ไม่เพียงให้ความรู้เรื่องการแยกขยะแก่แม่บ้าน แต่ยังนำหลัก Incentive Theory มาใช้ โดยชี้ให้เห็นว่าขยะรีไซเคิลสามารถนำไปขายเพื่อสร้างรายได้เสริมได้ หรือโครงการ "ห่อด้วยใจ (WRAP & CARE)" ที่ได้แก้ปัญหาขยะในห้องน้ำหญิงอย่างสร้างสรรค์ โดยนำกระดาษรีไซเคิลมาทำเป็นซองสำหรับห่อผ้าอนามัยใช้แล้ว ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวก ถูกสุขลักษณะ และลดภาระของแม่บ้านไปพร้อมกัน

นอกเหนือจากปัญหาขยะ ความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความปลอดภัยก็เป็นหัวใจสำคัญของพื้นที่ส่วนกลาง ปัญหาการย้ายโต๊ะเก้าอี้ในโรงอาหารแล้วไม่เก็บเข้าที่เป็นเรื่องที่หลายคนมองข้าม แต่กลับสร้างภาระหนักให้แม่บ้าน โครงการ "Maid my day" และ "โต๊ะเก้าอี้ที่เดิม เติมน้ำใจร่วมกัน" ได้เข้ามาจัดการปัญหานี้ด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน โดยกลุ่มหนึ่งเน้นการรณรงค์ผ่านเพจออนไลน์และเปิดรับชั่วโมงจิตอาสา ขณะที่อีกกลุ่มใช้วิธีที่จับต้องได้มากขึ้นด้วยการติดสติกเกอร์ย้ำเตือนบนโต๊ะโดยตรง เพื่อปลูกฝังความรับผิดชอบต่อการใช้พื้นที่ส่วนรวม รวมถึงการส่งเสริมความปลอดภัยในการสัญจร โดยโครงการ "รณรงค์การใช้ skywalk" ที่ตระหนักถึงอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากการข้ามถนน จึงได้จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อกระตุ้นให้นักศึกษาหันมาใช้สะพานลอยให้มากขึ้น

แต่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้เป็นเพียงครึ่งหนึ่งของเรื่องราวทั้งหมด คุณค่าที่แท้จริงของโครงการเหล่านี้อาจซ่อนอยู่ในบทเรียนล้ำค่าที่นักศึกษาได้เรียนรู้เมื่อทฤษฎีต้องเผชิญหน้ากับโลกแห่งความเป็นจริง ประสบการณ์เหล่านี้คือสิ่งที่ไม่มีในตำราเรียน และได้หล่อหลอมทักษะสำคัญที่จะติดตัวพวกเขาไปในอนาคต บทเรียนสำคัญคือการเข้าใจผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างลึกซึ้ง หลายโครงการค้นพบว่าการออกแบบวิธีแก้ปัญหาจากมุมมองของตนเองเพียงอย่างเดียวอาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริง เช่น โครงการ "สุขภาพของผู้สูงอายุ" ที่ต้องปรับเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายกลางคันจากคนสวนเป็นแม่บ้านและ รปภ. เพราะไม่สามารถพบคนสวนในช่วงเวลาที่ลงพื้นที่ได้ หรือโครงการ "เบาะนี้เพื่อลุง" ที่ต้องยืดหยุ่นเมื่อผู้รับผลประโยชน์มีการเปลี่ยนแปลง สิ่งนี้สอนให้นักศึกษาตระหนักว่าการรับฟังและทำความเข้าใจบริบทของผู้ที่เราต้องการช่วยเหลือเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุด

นอกจากนี้ พวกเขายังได้เรียนรู้พลังของการทำงานเป็นทีมและการสื่อสาร การทำงานร่วมกับผู้อื่นย่อมมาพร้อมกับความท้าทาย ตั้งแต่การแบ่งหน้าที่ที่ไม่สอดคล้องกับทักษะของสมาชิก ไปจนถึงปัญหาการสื่อสารภายในที่ติดขัด ประสบการณ์เหล่านี้คือการฝึกฝนทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างแท้จริง และที่ขาดไม่ได้คือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและความยืดหยุ่น โลกแห่งความเป็นจริงเต็มไปด้วยปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ ดังตัวอย่างที่ชัดเจนของโครงการ "ปลอกมหัศจรรย์" ที่เมื่อพบว่าปลอกพลาสติกที่สั่งมาใช้ไม่ได้ผล ก็ต้องรีบค้นหาทางเลือกใหม่จนพบว่าปลอกยางดัมเบลคือคำตอบ หรือโครงการ "ป้ายห้ามจอด!!!" ที่ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการเมื่อพบข้อจำกัดของสถาบัน สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความสามารถในการปรับตัวซึ่งเป็นหัวใจของการทำงานให้สำเร็จ ภายใต้ข้อจำกัดด้านเวลาและทรัพยากร โครงการส่วนใหญ่ดำเนินงานภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้ ทำให้นักศึกษารู้จักการวางแผนอย่างรอบคอบ การบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าที่สุด และการจัดลำดับความสำคัญของงาน

โครงการจิตอาสา "Joy of Sharing" ของนักศึกษา สจล. ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพลังของการลงมือทำสิ่งเล็กๆ ด้วยความตั้งใจที่ดีสามารถสร้างแรงกระเพื่อมที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร โครงการเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมที่ทำแล้วจบไป แต่คือการจุดประกายและบ่มเพาะ "วัฒนธรรมแห่งการให้และการใส่ใจ" ในหัวใจของคนรุ่นใหม่ แม้บางโครงการอาจไม่ได้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 100% แต่ทุกโครงการได้สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในรูปแบบของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการลดภาระงานของบุคลากร, การสร้างสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ขึ้น, การสร้างความสัมพันธ์อันดีและความเข้าใจซึ่งกันและกันระหว่างนักศึกษากับบุคลากร และที่สำคัญที่สุดคือการสร้าง "พลเมืองที่ตระหนักถึงปัญหารอบตัวและพร้อมที่จะลงมือทำ" เรื่องราวเหล่านี้ตอกย้ำให้เราเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงไม่จำเป็นต้องรอให้ใครมาเริ่มต้น เราทุกคนสามารถเป็นผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงได้ เพียงแค่เริ่มต้นจากการมองสิ่งรอบตัวด้วยความใส่ใจ และลงมือทำในสิ่งที่เราทำได้ พลังเล็กๆ จากความตั้งใจที่ดีของแต่ละคนนี่เอง คือสิ่งที่สามารถรวมกันเพื่อเปลี่ยนโลกใบใหญ่ให้น่าอยู่ขึ้นได้อย่างแท้จริง

Read more

ปฏิบัติการ 'กินได้ทิ้งให้ถูกที่' ที่ห้องน้ำหอสมุด KLLC ลดขยะได้จริงแค่ไหน?

ปฏิบัติการ 'กินได้ทิ้งให้ถูกที่' ที่ห้องน้ำหอสมุด KLLC ลดขยะได้จริงแค่ไหน?

ปัญหาขยะในพื้นที่สาธารณะ โดยเฉพาะ "ห้องน้ำ" เป็นเรื่องใกล้ตัวที่หลายคนอาจมองข้ามไป และนี่คือจุดเริ่มต้นของโครงการจิตอาสา "กินได้ทิ้งให้ถูกที่" โดยนักศึกษาวิชา ปันสุข Joy of Sharing จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.

By อ.บอม GenEd.
จากวัยรุ่นสู่วัยแม่: บทเรียนแห่งการเข้าใจระหว่างวัย

จากวัยรุ่นสู่วัยแม่: บทเรียนแห่งการเข้าใจระหว่างวัย

ในโลกที่หมุนเร็วด้วยเทคโนโลยีและค่านิยมที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การเข้าใจ “ความต่างของช่วงวัย” กลายเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยไปกว่าความรู้ทางวิชาการ กลุ่มนักศึกษา วิชาปันสุข Joy of Sharing ได้ทำโครงการจิตอาสา “ความเข้าใจในความคิดของช่วงอายุวัยที่แตกต่างกัน” พวกเขาได้

By อ.บอม GenEd.
เรียนรู้ Soft Skill อะไร จากซีรีส์ดัง "สงครามส่งด่วน"?

เรียนรู้ Soft Skill อะไร จากซีรีส์ดัง "สงครามส่งด่วน"?

content นี้ พูดถึง ตัวละครหลัก กับการทำงาน จะพยามชี้ให้เห็น Soft Skill ที่เด่นๆ บทเรียนที่สำคัญ ทั้งจุดแข็งและจุดที่ควรเรียนรู้ เพื่อให้นักศึกษาจะได้เอาไปปรับใช้ พัฒนาตัวเอง เตรียมพร้อมสำหรับชีวิตข้างหน้า

By อ.บอม GenEd.